
หลังฉีดRADIESSE (เรเดียสซ์)สามารถแต่งหน้าได้เลยไหม
- วันวิสาข์ 2540
- 25 ส.ค.
- ยาว 2 นาที
💰 ราคา
ราคา 29,999 บาทต่อกล่อง (ตามที่ระบุในคำถาม) อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปตามคลินิก โปรโมชัน และปริมาณที่ใช้ 💸 ควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากคลินิกที่ให้บริการเพื่อความชัดเจน
👩🦰 หลังฉีด RADIESSE สามารถแต่งหน้าได้เลยหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ควรแต่งหน้าทันทีหลังฉีด ⚠️
แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้รออย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังการฉีด RADIESSE ก่อนที่จะแต่งหน้า เพื่อ:
ให้ผิวบริเวณที่ฉีดได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ 🛌
ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากเครื่องสำอางหรือแปรงแต่งหน้า 🦠
ป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดจากการสัมผัสหรือกดทับ ❗
ป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ 👆
หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการกดหรือถูแรงๆ บริเวณที่ฉีด 💄
👨👩👧 RADIESSE เหมาะกับใคร?
RADIESSE เหมาะสำหรับบุคคลดังต่อไปนี้:
ผู้ที่มีริ้วรอยลึกบริเวณใบหน้า เช่น ร่องแก้ม (Nasolabial Folds) หรือรอยย่นข้างปาก (Marionette Lines) 👵
ผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาตรให้กับโหนกแก้มหรือคาง เพื่อให้ใบหน้ามีมิติมากขึ้น 🍎
ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยและต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ⬆️
ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น เติมกรอบหน้าให้ชัดเจน 🔄
เหมาะกับคนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีสัญญาณแห่งวัยที่เริ่มเด่นชัด 📅
ผู้ที่มีผิวบางหรือสูญเสียปริมาตรใต้ผิวหนังตามอายุ 💡
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ⏳
ไม่เหมาะกับ: ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้รุนแรง, ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่ต้องการฉีด, หรือผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของ RADIESSE 🚫
⏱️ เห็นผลเลยหรือไม่? ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
เห็นผลทันที: ✅ หลังจากฉีด RADIESSE จะเห็นผลลัพธ์ในทันที เนื่องจากเป็นการเติมเต็มปริมาตรโดยตรง ใบหน้าจะดูเต็มขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และโครงหน้าชัดเจนขึ้นทันทีที่ฉีดเสร็จ
ความยาวนานของผลลัพธ์: ⏳
โดยเฉลี่ย ผลลัพธ์ของ RADIESSE อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด การดูแลตัวเอง และการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล
RADIESSE มีความพิเศษคือสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผลลัพธ์ดูดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 4-8 สัปดาห์แรกหลังฉีด 🧬
เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูโรนิค (HA Filler) RADIESSE มักให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า 📈
🔍 ข้อดีของ RADIESSE
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: 🌱 ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และยืดหยุ่นมากขึ้นในระยะยาว
ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: 👌 ให้ความรู้สึกและลุคที่ไม่แข็งกระด้าง ผิวดูเรียบเนียนและสมจริง
อยู่ได้นาน: ⌛ ผลลัพธ์ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูโรนิคทั่วไป
ความปลอดภัยสูง: 🛡️ ทำจากสารที่คล้ายคลึงกับแร่ธาตุในร่างกายมนุษย์ ลดความเสี่ยงของการแพ้
ใช้งานได้หลากหลาย: 🎯 สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้า (เช่น แก้ม, คาง, ร่องแก้ม) และบริเวณมือเพื่อลดริ้วรอย
ประสิทธิภาพสูง: 💯 ใช้ปริมาณน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และสามารถผสมกับยาชาเพื่อลดความเจ็บปวดขณะฉีด
⚠️ ข้อเสียและความเสี่ยง
ราคาค่อนข้างสูง: 💰 มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าฟิลเลอร์ประเภทอื่นๆ
อาการบวมมากกว่า: 🎈 อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำมากกว่าฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูโรนิค
ไม่สามารถสลายได้: ❗ หากไม่พอใจผลลัพธ์ ไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์ HA ต้องรอให้ร่างกายสลายเองตามธรรมชาติ
ความเสี่ยงจากการฉีด: 💉 อาจเกิดรอยฟกช้ำ บวม แดง หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมักหายไปเองใน 3-7 วัน
ก้อนแข็งใต้ผิว: 🔴 ในบางกรณีที่หายาก อาจเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (Nodules) ซึ่งอาจต้องได้รับการแก้ไข
ไม่เหมาะกับทุกบริเวณ: 🚫 ไม่แนะนำให้ฉีดในบริเวณที่มีผิวบางมาก เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก
😱 อันตรายหรือไม่?
RADIESSE มีความปลอดภัยสูงหากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรอง 🩺 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นได้หาก:
ฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้เกิดการฉีดผิดตำแหน่งหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน 💉
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองหรือของปลอม ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแพ้หรือการติดเชื้อ 🦠
ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หลังการฉีด เช่น การสัมผัสหรือกดบริเวณที่ฉีดมากเกินไป 👆
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (แต่พบได้น้อยมาก): เช่น การอุดตันของหลอดเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งอาจนำไปสู่การตายของเนื้อเยื่อ หรือการติดเชื้อรุนแรง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดรุนแรง ผิวเปลี่ยนสี หรือบวมมาก ควรพบแพทย์ทันที 🚨
🩺 วิธีการดูแลตัวเองก่อนฉีด RADIESSE
ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด: 👨⚕️ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษา
หยุดยาต้านการแข็งตัวของเลือด: 💊 หยุดยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) และอาหารเสริมบางชนิด (เช่น น้ำมันปลา, วิตามินอี, โสม) อย่างน้อย 7-10 วันก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
งดแอลกอฮอล์: 🍷 ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการบวมและรอยช้ำ
แจ้งประวัติการแพ้และโรคประจำตัว: ⚕️ แจ้งแพทย์หากมีประวัติการแพ้ยา สารใดๆ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ทำความสะอาดใบหน้า: 🧼 ไปคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิว
หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์: ⛔ งดการทำเลเซอร์, ผลัดเซลล์ผิว หรือทรีตเมนต์ที่อาจระคายเคืองผิวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด
🌿 วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด RADIESSE
ประคบเย็น: ❄️ ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำ (ประคบครั้งละ 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง ใน 24 ชั่วโมงแรก)
หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า: 💄 งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หลีกเลี่ยงความร้อนและการออกกำลังกาย: 🔥 งดการอบซาวน่า, สปา, อาบน้ำร้อน หรือออกกำลังกายหนักๆ เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง เพราะอาจเพิ่มการบวม
นอนในท่าที่เหมาะสม: 🛌 ควรนอนหงายและยกศีรษะสูงในคืนแรกหลังการฉีด เพื่อลดแรงกดทับและการบวม
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดหน้า: 👐 ไม่ควรนวด, ถู หรือกดบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
ป้องกันแสงแดด: ☀️ ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30+ และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพื่อป้องกันการระคายเคือง
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: 💧 ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและคงความชุ่มชื้นของผิว
งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: 🚬🍷 หลีกเลี่ยงอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อให้การฟื้นตัวดีขึ้น
ติดตามผลกับแพทย์: 📋 ไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์และแก้ไขหากมีปัญหา
🚨 อาการผิดปกติที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
หากพบอาการเหล่านี้หลังการฉีด ควรรีบติดต่อแพทย์หรือไปโรงพยาบาลทันที:
อาการบวมที่รุนแรงหรือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 🎈
ปวดรุนแรงที่ไม่บรรเทาลงด้วยยาแก้ปวด 😫
มีรอยแดงที่ลุกลาม มีไข้ หรือมีหนองบริเวณที่ฉีด 🔴
เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังที่ไม่หายไป 💢
รู้สึกชาหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณที่ฉีดหรือบริเวณใกล้เคียง 🤔
มีอาการปวดหัวรุนแรงหรือมองเห็นไม่ชัด (อาจบ่งบอกถึงภาวะหลอดเลือดอุดตัน) 😵
💡 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RADIESSE
การฉีด RADIESSE ใช้เวลานานแค่ไหน? โดยทั่วไปใช้เวลาเพียง 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณและปริมาณที่ฉีด ⏲️
เจ็บหรือไม่? ความเจ็บปวดมีน้อย เนื่องจาก RADIESSE มักผสมกับยาชา (Lidocaine) เพื่อลดความรู้สึกไม่สบายขณะฉีด 😊สามารถฉีดร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่? สามารถทำร่วมกับโบท็อกซ์หรือเลเซอร์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม 🧐
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย: อาการบวม, รอย赤, รอยช้ำ, หรืออาการคันเล็กน้อย ซึ่งมักหายไปเองภายใน 3-7 วัน 🌿
RADIESSE เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติมเต็มและยกกระชับใบหน้า ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัยที่สุด 💖✨
หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RADIESSE หรือต้องการข้อมูลในด้านอื่นๆ สามารถถามมาได้เลยนะคะ! 🌸
🔄 RADIESSE แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร? ✨
RADIESSE มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ในหลายด้าน มาดูการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกกันค่ะ 📊:
RADIESSE 💎RADIESSE ใช้วัสดุหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความคงทนอยู่ที่ 12-18 เดือน จุดเด่นคือสามารถปรับโครงหน้าได้ดี เช่น เติมร่องแก้มหรือปรับกรามให้ชัดเจน และให้ผลลัพธ์ระยะยาว แต่ข้อเสียคือไม่สามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา และมีราคาค่อนข้างสูง 🌟Sculptra 🌿Sculptra ใช้วัสดุ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นหลัก มีความคงทนยาวนานถึง 18-24 เดือน จุดเด่นคือให้ผลระยะยาวและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จะไม่ปรากฏทันที ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตรในทันทีเมื่อเทียบกับ RADIESSE 🍃
Juvederm 💧Juvederm เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่เติมเต็มปริมาตรด้วยความชุ่มชื้น มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากหรือร่องใต้ตา และสามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยกว่า 💦
Restylane 🌸Restylane ก็เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เช่นเดียวกับ Juvederm มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยและสามารถสลายได้ทันที เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ผลลัพธ์คงทนสั้นกว่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm มักอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตและความหนืดของเนื้อเจล 🌺
Botox 💉Botox ใช้สาร Botulinum Toxin Type A ที่ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยย่นหน้าผากหรือตีนกา มีความคงทนเพียง 3-6 เดือน จุดเด่นคือช่วยลดริ้วรอยได้ดีและฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อย 💊
Thread Lift 🧵Thread Lift ใช้เส้นใยละลายได้ เช่น PDO หรือ PLLA เพื่อยกกระชับผิว มีความคงทน 6-12 เดือน จุดเด่นคือช่วยยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ยกคิ้วหรือกระชับแก้ม และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก ใช้เวลาฟื้นตัวนาน และมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่เน้นการเติมเต็มมากกว่าการยกกระชับ 🪡
HIFU/Ulthera 📡HIFU หรือ Ulthera ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนด้วยความร้อน มีความคงทน 12-18 เดือน จุดเด่นคือไม่ต้องฉีดและไม่มีแผล เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหย่อนคล้อย แต่ข้อเสียคือไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE ผลลัพธ์ปรากฏช้า และรู้สึกเจ็บขณะทำ 🌊
PRP (Platelet-Rich Plasma) 🩸PRP ใช้พลาสมาจากเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือด มีความคงทน 3-6 เดือน จุดเด่นคือปลอดภัยเพราะใช้สารจากร่างกายเอง ช่วยให้ผิวดูสดใสและอ่อนเยาว์ แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์ไม่แน่นอนและต้องทำหลายครั้ง เมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าในเรื่องการเติมเต็มและปรับโครง

ความคิดเห็น