top of page
ค้นหา

DERMA GLOW(เดอร์มาโกลว์)ช่วยในเรื่องอะไร

Derma Glow: โปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วย Skin Booster 🌟✨

Derma Glow คืออะไร? 🧐

Derma Glow เป็นโปรแกรมการดูแลผิวหน้าระดับพรีเมียมที่ใช้เทคนิคการฉีด Skin Booster 💉 เพื่อฟื้นฟูและบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก โดยนำส่งสารอาหารและสารบำรุงผิวเข้าสู่ชั้นผิวที่ลึกกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนและยาวนานกว่า 🌈

Skin Booster ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง? 🤔

โปรแกรม Derma Glow ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหลากหลายด้าน ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูง โดยช่วยในเรื่องดังต่อไปนี้:

1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว 💧

เติมน้ำให้ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และดูมีชีวิตชีวา

ลดเลือนริ้วรอยแห้งกร้านที่เกิดจากผิวขาดน้ำ

ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใส มีออร่า ✨

2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน 🧬

เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิว

ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่น ผิวดูอ่อนเยาว์และเต่งตึงขึ้น 👶🏻

3. ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใส 🎨

ลดเลือนจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ และรอยแดงจากสิว

ปรับโทนสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน

ผิวดูสว่างและมีสุขภาพดี 🌞

4. ฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากมลภาวะและแสงแดด 🛠️

ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลายจากรังสียูวีและมลภาวะ

ลดการอักเสบ ความระคายเคือง และรอยแดง

เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น 🛡️

5. แก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด 🎯

รักษารูขุมขนกว้างให้ดูเล็กลง ลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า

ปรับสมดุลผิวให้แข็งแรงและมีสุขภาพดี 💪

ส่วนประกอบสำคัญใน Derma Glow Skin Booster 🧪

Derma Glow ใช้ส่วนผสมที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้ผลลัพธ์สูงสุดในการบำรุงผิว1. กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) 💦

สารให้ความชุ่มชื้นชั้นเยี่ยมที่สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ช่วยเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ และทำให้ผิวดูอิ่มน้ำผลักดันให้ผิวดูเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์ ✨

2. วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิว 🍊

วิตามิน B คอมเพล็กซ์: ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและลดการอักเสบ

วิตามิน C: ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับผิวให้กระจ่างใส

วิตามิน E: ปกป้องผิวจากความเสียหายและเสริมสร้างเกราะป้องกัน 🛡️

แร่ธาตุสำคัญ: เช่น สังกะสี, แมกนีเซียม, ทองแดง ช่วยในกระบวนการฟื้นฟูผิว

3. เปปไทด์และโปรตีน 🧬

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ

ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น

ลดเลือนริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น 👵🏻➡️👩🏻

4. สารต้านอนุมูลอิสระ 🍃

ปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

ต่อสู้กับมลภาวะและรังสียูวีที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย

ชะลอกระบวนการแก่ตัวของผิว ⏰

5. สารสกัดจากธรรมชาติ 🌱

สารสกัดจากพืชและสมุนไพร เช่น อโลเวร่า, ชาเขียว, โสม

ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างการฟื้นฟูผิว

มอบคุณประโยชน์จากธรรมชาติโดยตรงสู่ผิว 🌿

กระบวนการรักษาด้วย Derma Glow 📋

1. การปรึกษาและวิเคราะห์สภาพผิว 🔍

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะทำการวิเคราะห์ปัญหาผิวของคุณอย่างละเอียด

ออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจำนวนครั้งและความถี่ในการรักษา 📊

2. การเตรียมผิวก่อนการรักษา 🧼

ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมัน

อาจมีการใช้ครีมชาเฉพาะจุดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด

เตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการรับสารบำรุง 🧴

3. การฉีด Skin Booster 💉

ใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษหรือเทคโนโลยีไมโครนีดลิ้งเพื่อนำส่งสารบำรุง

ฉีดสารเข้าสู่ชั้นผิวที่เหมาะสม (ชั้น dermis) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

กระจายสารบำรุงอย่างทั่วถึงทั่วใบหน้า 🎯

4. การดูแลหลังการรักษา 🏥

อาจมีรอยแดงหรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 วัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแต่งหน้าบริเวณที่ได้รับการรักษาใน 24 ชั่วโมงแรก

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนในวันที่รับการรักษา 🚿

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจาก Derma Glow ✨

ผลลัพธ์ระยะสั้น (ภายใน 1-3 วัน) 📆

ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใส มีออร่าทันทีหลังการรักษา

ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผิวรู้สึกเรียบเนียนและนุ่มนวลขึ้น 👶🏻

ผลลัพธ์ระยะกลาง (2-4 สัปดาห์) 🗓️

ริ้วรอยตื้นๆ และรอยแห้งกร้านเริ่มจางลง

สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น จุดด่างดำลดลง

รูขุมขนดูเล็กลง ผิวกระชับและยืดหยุ่นขึ้น 🔍

ผลลัพธ์ระยะยาว (หลังการรักษาต่อเนื่อง) 📈

ผิวแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน

ริ้วรอยลึกและรอยเหี่ยวย่นลดลง

โครงสร้างผิวได้รับการปรับปรุง ผิวดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา ✨👑

ข้อแนะนำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 📝

1. การรักษาอย่างต่อเนื่อง 🔄

แนะนำให้ทำการรักษา 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง

หลังจากนั้นควรทำการรักษาเพื่อคงผลลัพธ์ทุก 3-6 เดือน

การรักษาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📊

2. การดูแลผิวที่บ้าน 🏠

ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น มอยส์เจอไรเซอร์และเซรั่ม

ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้จะอยู่ในร่ม

หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและสวมหมวกหรือร่มเมื่อออกกลางแจ้ง ☀️🚫

3. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว

รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผัก ผลไม้ และถั่ว

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน) เพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง 💤

ลดความเครียดด้วยการทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลาย 🧘‍♀️

ข้อควรระวังและข้อห้าม ⚠️

ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่: 🚫

กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

มีการติดเชื้อหรือแผลเปิดที่ผิวหนังบริเวณที่จะรักษา

มีประวัติการแพ้ส่วนประกอบในสาร Skin Booster

มีโรคภูมิแพ้ตัวเองรุนแรงหรือปัญหาสุขภาพบางประการ

อยู่ในระหว่างการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด 💊

ทำไมควรเลือก Derma Glow? 🏆

1. เทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูง 🔬

ใช้สูตรผสมเฉพาะที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

เทคนิคการนำส่งสารบำรุงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกและเป็นที่ยอมรับ 📊

2. ปลอดภัยและแทบไม่มีดาวน์ไทม์ 🛡️

ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

ผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับหัตถการผิวหนังประเภทอื่น

เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกเพศทุกวัย 👨‍👩‍👧‍👦

3. ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน ⏱️

เห็นผลตั้งแต่การรักษาครั้งแรกในเรื่องความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่ง

ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง

ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิวในระยะยาว 🌟

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Derma Glow ❓

1. การรักษาด้วย Derma Glow เจ็บหรือไม่? 😣

ความเจ็บปวดอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง ขึ้นอยู่กับความทนทานของแต่ละบุคคล

มีการใช้ครีมชาเฉพาะจุดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด

ความรู้สึกคล้ายถูกเข็มจิ้มเบาๆ หรือรู้สึกตึงผิวเล็กน้อย

2. จะเห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่? ⏰

เห็นผลทันทีในเรื่องความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งหลังการรักษาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะปรากฏหลังจากการรักษาครบคอร์ส (3-6 ครั้ง)

ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากการกระตุ้นคอลลาเจน

3. ผลลัพธ์ของ Derma Glow อยู่ได้นานแค่ไหน? 📅

โดยทั่วไปผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิว

แนะนำให้ทำการรักษาเพื่อคงผลลัพธ์ทุก 3-6 เดือน

การดูแลผิวที่ดีที่บ้านจะช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์

4. Derma Glow แตกต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร? 🤔

ฟิลเลอร์: เน้นการเติมเต็มและปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น เติมร่องแก้มหรือริมฝีปาก

Derma Glow: เน้นการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม เช่น ความชุ่มชื้น ความเรียบเนียน และความกระจ่างใส

Derma Glow ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่เปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า ✨

5. Derma Glow เหมาะกับใคร? 👤

ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ หรือขาดความชุ่มชื้น

ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและปรับผิวให้กระชับ

ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกและยาวนาน

ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพักฟื้น 💁‍♀️

สรุป 🌟

Derma Glow คือโปรแกรมการดูแลผิวหน้าระดับพรีเมียมที่ใช้เทคโนโลยี Skin Booster เพื่อนำส่งสารบำรุงล้ำค่าเข้าสู่ชั้นผิวที่ลึกกว่า ช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหมองคล้ำ ผิวแห้งกร้าน หรือรูขุมขนกว้าง 🎯

ด้วยส่วนผสมคุณภาพสูง เช่น กรดไฮยาลูโรนิค วิตามิน เปปไทด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ Derma Glow จึงช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง กระชับ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ✨👑

หากคุณกำลังมองหาวิธีการดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าการใช้ครีมบำรุงผิวทั่วไป และต้องการผิวสวยสุขภาพดีอย่างยั่งยืน Derma Glow คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ 💫🌈

✨ ความแตกต่างระหว่าง Derma Glow (Skin Booster) กับ Mesotherapy, Mesofat, Botox และ Filler ✨

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesotherapy:

💦 ความชุ่มชื้นยาวนานกว่า: HA ใน Skin Booster ช่วยกักเก็บน้ำในผิวได้ดีกว่าวิตามินทั่วไป ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้นานขึ้น

⏳ ผลลัพธ์คงอยู่นานกว่า: ผลของ Derma Glow อยู่ได้ 4-6 เดือน เทียบกับ Mesotherapy ที่อยู่ได้เพียง 1-2 เดือน

📅 จำนวนครั้งน้อยกว่า: คอร์สการรักษามักใช้เพียง 3 ครั้ง ในขณะที่ Mesotherapy อาจต้องทำ 4-6 ครั้ง

🌿 ความเสี่ยงจากการแพ้น้อยกว่า: เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ HA ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เอง โอกาสแพ้จึงน้อยกว่าค็อกเทลวิตามินที่มีส่วนผสมหลากหลาย

🧬 กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่า: HA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดีกว่าในระยะยาว

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesofat:

🧖‍♀️ ระยะพักฟื้นสั้นกว่า: มีอาการบวมแดงน้อยกว่าและหายเร็วกว่า Mesofat

😌 ความเจ็บปวดน้อยกว่า: เนื่องจากฉีดตื้นกว่าและไม่รู้สึกแสบเหมือนสารสลายไขมัน

🌱 ไม่ทำลายเซลล์: เป็นการเติมสารให้ผิว ไม่ใช่การทำลายเซลล์ไขมัน จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องผิวไม่เรียบ

💆‍♀️ เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Mesofat ไม่มีผลในด้านนี้

🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการบวมมากหรือการอักเสบจากสารสลายไขมัน

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Botox:

💧 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Botox ไม่มีผลในด้านนี้

😊 ใบหน้ายังแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ: ไม่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งหรือดูไม่เป็นธรรมชาติ

🌱 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Botox ไม่ได้ช่วยในด้านโครงสร้างผิว

🛡️ ไม่มีความเสี่ยงจากสารโบทูลินัม ท็อกซิน: ไม่มีความเสี่ยงเรื่องคิ้วตกหรือใบหน้าไม่สมดุล

🧖‍♀️ เหมาะสำหรับการดูแลผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวสุขภาพดีทั่วทั้งใบหน้า ไม่ใช่แค่เฉพาะจุด

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Filler:

💧 เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วทั้งใบหน้า: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นทั่วถึง ไม่ใช่แค่เฉพาะจุดเหมือน Filler

🌱 กระจายตัวทั่วผิวหน้า ไม่เป็นก้อน: เนื่องจากฉีดตื้นและกระจาย ไม่มีความเสี่ยงเรื่องก้อนแข็งเหมือน Filler

🧬 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Filler ไม่มีผลในด้านนี้

🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการอุดตันเส้นเลือด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงของ Filler

 
 
 

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
เดอร์มาโกลว์(DERMA GLOW)อันตรายไหม

Derma Glow: โปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วย Skin Booster 💉✨ สวัสดีค่ะ! วันนี้เราจะมาพูดถึง Derma Glow ซึ่งเป็นโปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วยการฉีดช...

 
 
 

ความคิดเห็น


ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

0626023959

bottom of page