
ฉีดProfhilo(โปรฟิโล)ที่ขมับช่วยยกกระชับได้หรือไม่
- วันวิสาข์ 2540
- 29 ก.ย.
- ยาว 2 นาที
Profhilo ที่ขมับ: คู่มือฉบับสมบูรณ์ 2024 - การยกกระชับใบหน้าส่วนบน 🌟
💉 การฉีด Profhilo ที่ขมับช่วยยกกระชับได้หรือไม่?
คำตอบ: ใช่! การฉีด Profhilo ที่ขมับช่วยยกกระชับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✨Profhilo เป็นนวัตกรรม Bio-remodeling ที่ไม่ใช่ฟิลเลอร์ทั่วไป แต่เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายในด้วย Hyaluronic Acid (HA) ความเข้มข้นสูงถึง 64 มก./2 มล. ซึ่งทำงานโดย:
🧬 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน: ช่วยให้ผิวบริเวณขมับแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
🔄 ฟื้นฟูโครงสร้างผิว 3 มิติ: เสริมความกระชับให้กับใบหน้าส่วนบน
💦 เพิ่มความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก: ทำให้ผิวที่บางและแห้งบริเวณขมับดูเต่งตึง
🔼 ผลการยกกระชับทางอ้อม: เมื่อผิวขมับแข็งแรงขึ้น จะช่วยยกส่วนอื่นของใบหน้า เช่น หางตาและคิ้ว
ทำไมขมับถึงสำคัญ?บริเวณขมับเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการยกกระชับใบหน้า เพราะเมื่อผิวบริเวณนี้หย่อนคล้อยหรือสูญเสียวอลลุ่ม จะทำให้ใบหน้าดูแก่และเหนื่อยล้า การฉีด Profhilo จึงช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ 🌿
⏰ ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
📅 โปรโตคอลการฉีดและระยะเวลาเห็นผล:
Profhilo มีโปรโตคอลการรักษาที่ชัดเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะที่บริเวณขมับ:
ครั้งที่ 1: การฉีดครั้งแรกเพื่อเริ่มกระบวนการฟื้นฟูผิว (เริ่มเห็นผลเล็กน้อยใน 1-2 สัปดาห์)
ครั้งที่ 2: หลังจากครั้งแรก 30 วัน เพื่อเสริมผลลัพธ์ (เห็นผลชัดเจนใน 4-6 สัปดาห์)
ครั้งที่ 3 (ถ้าจำเป็น): หลังครั้งที่ 2 อีก 30-60 วัน สำหรับเคสที่มีการหย่อนคล้อยมากหรือผิวเสียหายหนัก (ผลลัพธ์สูงสุดใน 8-12 สัปดาห์)
เทคนิคการฉีด:ใช้เทคนิค BAP (Bio Aesthetic Points) ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดจำนวนจุดฉีด (เพียง 5 จุดต่อข้าง) และเพิ่มการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ ลดความเจ็บและความเสี่ยงจากรอยเข็ม 💉
🕒 ความคงทนของผลลัพธ์:
ผลลัพธ์เต็มที่: 2-3 เดือนหลังจากคอร์สครบ (เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินสร้างตัวเต็มที่)
ระยะเวลาคงอยู่: 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว และไลฟ์สไตล์
การรักษาผลลัพธ์: แนะนำทำซ้ำทุก 6-8 เดือน เพื่อคงความกระชับและความชุ่มชื้นของผิว
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความคงทน:
อายุ (ผิวที่มีอายุมากอาจเห็นผลสั้นกว่า)
การสัมผัสแสงแดด (UV ทำให้ผิวเสื่อมเร็ว)
ไลฟ์สไตล์ (การสูบบุหรี่หรือความเครียดเร่งการเสื่อมของผิว)
🌺 วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด Profhilo ที่ขมับ
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Profhilo และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้อย่างมาก 🌟
🛁 ก่อนการฉีด:
การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้ผิวพร้อมรับการรักษาและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น:
7-10 วันก่อนทำ:
💊 งดยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดบาง เช่น Aspirin, Ibuprofen, Vitamin E, Fish Oil, Ginkgo Biloba
🧴 งดใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น Retinol, AHA, BHA
🩺 ปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือประวัติการแพ้ยา
24-48 ชั่วโมงก่อนทำ:
🍷 งดดื่มแอลกอฮอล์ (เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำ)
🚬 งดสูบบุหรี่ (ลดการไหลเวียนเลือดและการฟื้นตัวของผิว)
💧 ดื่มน้ำให้เพียงพอ (2-3 ลิตร/วัน) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
💧 หลังการฉีด:
การดูแลหลังฉีดสำคัญมากเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน:
24-48 ชั่วโมงแรก:
❄️ ประคบเย็นเบาๆ หากมีอาการบวม (ไม่เกิน 10 นาทีต่อครั้ง)
🙅♀️ ห้ามสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของผลิตภัณฑ์
🚿 งดอาบน้ำร้อนหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
🏋️♀️ งดออกกำลังกายหนัก
7 วันแรก:
☀️ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุก 2-3 ชั่วโมง
🧖♀️ งดซาวน่า อบไอน้ำ หรือกิจกรรมที่ใช้ความร้อน
🧴 ใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน งดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมกระตุ้นผิว
14-30 วันหลังทำ:
💦 ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
🥗 ทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนและคอลลาเจน เช่น ปลา ไข่ ถั่ว
🧘♀️ พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด เพื่อให้ผิวฟื้นตัวดีขึ้น
⚠️ ผลข้างเคียง อันตรายหรือไม่ และเจ็บมากแค่ไหน?
📋 ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น:
Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยได้:
ผลข้างเคียงปกติ (หายเองใน 1-7 วัน):
🔴 รอยแดงบริเวณที่ฉีด (1-2 วัน)
🟣 รอยช้ำเล็กน้อย (3-7 วัน)
🌡️ อาการตึงหรือแน่นที่ผิวบริเวณขมับ (1-3 วัน)
🩹 จุดเลือดออกเล็กน้อยจากรอยเข็ม (1-2 วัน)
ผลข้างเคียงที่ควรพบแพทย์ทันที:
🚨 อาการปวดรุนแรงผิดปกติ
🦠 สัญญาณการติดเชื้อ เช่น บวมแดงร้อน
🌡️ มีไข้หลังทำทรีตเมนต์
🧠 อาการชาหรือปวดศีรษะรุนแรง
🛡️ อันตรายหรือไม่?
ความปลอดภัย: Profhilo เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก CE Mark และ FDA ผลิตในอิตาลีด้วยมาตรฐานยุโรป และปราศจากสารเชื่อมขวาง (BDDE) จึงมีความปลอดภัยสูงและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในคนส่วนใหญ่
ความเสี่ยงเฉพาะที่ขมับ: บริเวณขมับมีเส้นเลือดและเส้นประสาทสำคัญ (เช่น Temporal Artery) จึงต้องระวังเป็นพิเศษ
ข้อควรระวัง:
👨⚕️ ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการฉีด Profhilo เท่านั้น
🏥 เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและใช้ผลิตภัณฑ์แท้ (ตรวจสอบฉลากและล็อตผลิตภัณฑ์)
🚫 งดทำในกรณีที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีประวัติแพ้ Hyaluronic Acid
😖 เจ็บมากแค่ไหน?
ระดับความเจ็บ: 4-6/10 (มากกว่าบริเวณแก้มเล็กน้อย) เนื่องจากผิวบริเวณขมับบางและใกล้กระดูก
เหตุผลที่เจ็บมากขึ้น: มีเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่า และผิวบางกว่าบริเวณอื่น
วิธีลดความเจ็บ:
🧊 ทายาชาก่อนทำ 20-30 นาที
❄️ ใช้เครื่องเป่าลมเย็นหรือประคบเย็นระหว่างทำ
💉 ใช้เข็มขนาดเล็ก (29G-30G) และเทคนิค BAP เพื่อลดจำนวนจุดฉีด
💨 เทคนิคการหายใจหรือการเบี่ยงเบนความสนใจ
🌟 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Profhilo ที่ขมับ
💡 ประโยชน์เฉพาะของการฉีดที่ขมับ:
ยกกระชับใบหน้าส่วนบน:
ลดการหย่อนคล้อยของหางตา
ยกคิ้วให้ดูสูงและคมขึ้น
ลดริ้วรอยตีนกาข้างตา
ฟื้นฟูผิวที่บางและแห้ง:
เพิ่มความหนาและความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณขมับ
ลดความหมองคล้ำและความเหนื่อยล้าของใบหน้า
ผลลัพธ์แบบองค์รวม:
ช่วยยกกระชับใบหน้าทั้งหมด ไม่เฉพาะแค่ขมับ
ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือโป๊ะ
เสริมการทำงานร่วมกับทรีตเมนต์อื่น:
สามารถทำควบคู่กับโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ได้ (เว้นระยะ 2 สัปดาห์)
📌 ข้อควรรู้เพิ่มเติม:
เหมาะกับใคร?: ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือมีสัญญาณของผิวหย่อนคล้อย ขาดวอลลุ่ม หรือริ้วรอยบริเวณขมับและใบหน้าส่วนบน
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: 10,000-25,000 บาทต่อครั้ง (ขึ้นอยู่กับคลินิกและปริมาณที่ใช้)
ระยะเวลาในการทำ: 30-45 นาที รวมเวลาทายาชา
💭 คำถามที่พบบ่อย:
Profhilo ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร?
Profhilo เป็น Bio-remodeling agent ที่กระจายตัวใต้ผิวเพื่อฟื้นฟู ไม่ได้เพิ่มวอลลุ่มโดยตรงเหมือนฟิลเลอร์
ทำร่วมกับทรีตเมนต์อื่นได้ไหม?
ทำได้ แต่ควรเว้นระยะ 2 สัปดาห์ และปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา
ทำบ่อยแค่ไหน?
คอร์สแรก 2-3 ครั้ง (ห่างกัน 30 วัน) และทำซ้ำทุก 6-8 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์
การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังทำมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและยาวนาน หากคุณปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด คุณจะได้ผิวที่กระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ💝
ผลลัพธ์: 3-7 วัน อยู่ได้ 3-6 เดือน
💡 คำแนะนำในการเลือกการรักษา
ระบุปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข 🔎
หากเป็นริ้วรอยลึกหรือต้องการปรับรูปหน้า ให้เลือก Juvederm หรือ Filler ทั่วไป
หากเป็นริ้วรอยจากการแสดงออก ให้เลือก Botox
หากต้องการความชุ่มชื้น ให้เลือก Skin Booster หรือ Restylane Vital
หากต้องการฟื้นฟูผิวจากภายใน ให้เลือก Profhilo หรือ Rejuranพิจารณางบประมาณและระยะเวลา 💰
หากต้องการผลลัพธ์ทันทีและงบจำกัด ให้เลือก Skin Booster
หากต้องการผลลัพธ์ยาวนาน ให้เลือก Juvederm หรือ Profhilo
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 👨⚕
การรักษาด้วยการฉีดควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม
แพทย์จะช่วยประเมินสภาพผิวและแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
เตรียมตัวก่อนและหลังการรักษา 🛌
งดแอลกอฮอล์และยาบางชนิดก่อนฉีด เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
ดูแลผิวหลังฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองได้นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติม ถามมาได้เลยค่ะ 💌✨

ความคิดเห็น