top of page
ค้นหา

RADIESSE (เรเดียสซ์)ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน อิลาสติน จริงหรือไม่

🌟 RADIESSE (เรเดียสซ์) คืออะไร? 🌟

RADIESSE (เรเดียสซ์) เป็นฟิลเลอร์ชนิดพิเศษที่มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) 30% ในเจลพาหะ Carboxymethylcellulose 70% โดยได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกาและ อย. ประเทศไทย ใช้สำหรับการเติมเต็มริ้วรอย ปรับโครงหน้า และยกกระชับผิว 💉

ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่แค่ฟิลเลอร์ธรรมดา แต่ยังเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินตามธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก ✨

💰 ราคาและปริมาณ

ราคา: 29,999 บาท/กล่อง

ปริมาณ: 1.5 มล./กล่อง

ความเข้มข้น: CaHA 30% ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

🧬 ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินจริงหรือไม่?

ใช่ ช่วยได้จริง! 👍 RADIESSE มีกลไกการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป โดยทำงานใน 2 ขั้นตอนหลัก:

การเติมเต็มทันที: เจลพาหะ (Carboxymethylcellulose) ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและยกกระชับผิวทันทีหลังการฉีด

การกระตุ้นระยะยาว: อนุภาค CaHA ทำหน้าที่เป็นโครงร่าง (scaffold) ให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) มาเกาะและกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนประเภท 1 และ 3 รวมถึง อิลาสติน ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่นให้กับผิว

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การศึกษาทางคลินิกพบว่า RADIESSE สามารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้มากถึง 30% ภายใน 3 เดือนหลังการฉีด และยังช่วยเพิ่มการสร้างอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวเด้งและยืดหยุ่น 🔬

ผลลัพธ์นี้ทำให้ RADIESSE ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาผิวในระยะสั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว 🌿

👥 เหมาะกับใคร?

✅ กลุ่มที่เหมาะสม

RADIESSE เหมาะสำหรับบุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:

อายุ: 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีสัญญาณของความชรา

ปัญหาผิว: ผิวหย่อนคล้อย, ริ้วรอยลึก (เช่น ร่องแก้ม, ร่องมุมปาก), สูญเสียปริมาตรบนใบหน้า

เป้าหมาย: ต้องการยกกระชับผิว, ปรับโครงหน้า (เช่น แก้ม, กราม, คาง), หรือฟื้นฟูความอ่อนเยาว์

สภาพร่างกาย: มีสุขภาพดีและไม่มีข้อห้ามในการฉีด

❌ กลุ่มที่ไม่เหมาะสม

🤰 สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร

🤒 ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเรื้อรังที่ไม่ควบคุม

🔴 ผู้ที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณ

💊 ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของ RADIESSE หรือมีประวัติแพ้ยาชา

คำแนะนำ: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนการรักษา 🩺

⚡ เห็นผลทันทีหรือไม่?

ใช่ เห็นผลทันที! และผลลัพธ์จะพัฒนาต่อเนื่องตามเวลา:

ทันทีหลังฉีด: เห็นการเติมเต็มริ้วรอยและการยกกระชับผิวในบริเวณที่ฉีด

2-4 สัปดาห์: เริ่มเห็นการกระตุ้นคอลลาเจน ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น

3-6 เดือน: ผลลัพธ์ถึงจุดสูงสุด ผิวกระชับมากขึ้น โครงหน้าชัดเจน และผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

⏳ ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

RADIESSE ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป:ระยะเวลาเฉลี่ย: 12-18 เดือน

ในบางกรณี: อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี

ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลา:

อายุของผู้รับการรักษา

สภาพผิวและไลฟ์สไตล์ (เช่น การสูบบุหรี่, การตากแดด)

เทคนิคการฉีดและปริมาณที่ใช้

การดูแลผิวหลังการรักษา

⚖️ ข้อดีและข้อเสีย

👍 ข้อดีของ RADIESSE

✨ ผลลัพธ์ทันที: เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด

🌿 กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน: ช่วยให้ผิวสร้างโปรตีนสำคัญตามธรรมชาติ

⏳ ผลลัพธ์ยาวนาน: อยู่ได้ 12-18 เดือนหรือมากกว่า

🛡️ ความปลอดภัยสูง: ได้รับการรับรองจาก FDA และ อย. ไทย

💧 ใช้ปริมาณน้อย: ให้ผลดีโดยไม่ต้องฉีดมาก

🎯 ปรับโครงหน้าได้ดีเยี่ยม: ช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

👎 ข้อเสียของ RADIESSE

💰 ราคาค่อนข้างสูง: อาจไม่เหมาะกับทุกงบประมาณ

⚠️ ไม่สามารถละลายได้: หากฉีดผิดพลาดจะแก้ไขได้ยาก (ต่างจาก HA Filler)

🔴 อาจเกิดก้อนแข็ง: หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้เทคนิคไม่ถูกต้อง

🚫 ข้อจำกัดบริเวณฉีด: ไม่เหมาะกับบางจุด เช่น ริมฝีปากหรือใต้ตา

⚠️ อันตรายหรือไม่?

โดยทั่วไป RADIESSE มีความปลอดภัยสูงเมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงดังนี้:

อาการข้างเคียงที่พบบ่อย (ไม่รุนแรง):

🟣 รอยช้ำ: อาจเกิดขึ้นและหายไปใน 5-10 วัน

🔴 รอยแดง: มักหายภายใน 2-3 วัน

💧 อาการบวม: พบได้บ่อยและหายภายใน 3-7 วัน

😣 อาการเจ็บเล็กน้อย: อาจรู้สึกระคายเคืองบริเวณที่ฉีด 1-2 วัน

อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย:

🦠 การติดเชื้อ: อาจเกิดขึ้นหากไม่รักษาความสะอาด

🧱 ก้อนแข็ง (Nodule): อาจเกิดจากการฉีดที่ไม่สม่ำเสมอ

🧪 อาการแพ้: พบได้น้อยมาก แต่ควรแจ้งประวัติการแพ้ให้แพทย์ทราบ

ความเสี่ยงรุนแรง (หายากมาก):

🚨 การอุดตันของหลอดเลือด (Vascular Occlusion): อาจเกิดขึ้นหากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

วิธีลดความเสี่ยง:

เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์

ตรวจสอบว่าใช้ผลิตภัณฑ์แท้จากบริษัทผู้ผลิต

แจ้งประวัติการรักษาและอาการแพ้ให้แพทย์ทราบ

ปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด 🛡️

🔄 วิธีดูแลตัวเองก่อนและหลังการรักษา

📝 การเตรียมตัวก่อนฉีด RADIESSE

การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา:

7-10 วันก่อนฉีด:

🚫 งดยาต้านการอักเสบ: เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)

🚫 งดวิตามินหรือสมุนไพรที่เพิ่มการเลือดออก: เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, โสม, กระเทียม

🩺 ปรึกษาแพทย์: หากใช้ยาประจำตัวหรือมีโรคประจำตัว

24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด:

🚫 งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ

🚫 งดผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: เช่น Retinol, AHA, BHA หรือกรดผลัดเซลล์ผิว

💧 ดื่มน้ำให้เพียงพอ: เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับการรักษา

วันฉีด:

🧼 มาด้วยใบหน้าสะอาด: ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุง

👕 สวมเสื้อผ้าที่สบาย: และไม่รัดแน่น เพื่อความสะดวกในการรักษา

🌿 การดูแลตัวเองหลังฉีด RADIESSE

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดผลข้างเคียง:

ทันทีหลังฉีด:

❄️ ประคบเย็น: เพื่อลดอาการบวม (ประคบ 15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง)

🚫 หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ไม่ถูหรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของผลิตภัณฑ์24-48 ชั่วโมง:

🚫 งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก

🚫 งดการอบซาวน่า, อาบน้ำร้อน: หรือตากแดดจัด เพื่อป้องกันการอักเสบ🚫 งดแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำและบวม

1-2 สัปดาห์:

🚫 งดนวดหน้า: หรือทำทรีตเมนต์ที่กดทับผิว เช่น เลเซอร์หรือ RF☀️ ทาครีมกันแดด SPF 50+: ทุกวันเพื่อปกป้องผิว

🚫 หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดหรือเรตินอล

ระยะยาว:

💧 ดื่มน้ำมากๆ: อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว

🥗 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน C และ E เพื่อสนับสนุนการสร้างคอลลาเจน

🚫 หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน

🧴 ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เช่น ครีมที่มีเปปไทด์หรือวิตามิน


RADIESSE (เรเดียสซ์) เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและปรับโครงหน้า แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินตามธรรมชาติอย่างได้ผลจริง ด้วยราคา 29,999 บาท/กล่อง แม้จะสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เนื่องจากอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน และช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายในสู่ภายนอก 🌟

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RADIESSE หรือต้องการคำปรึกษาเฉพาะบุคคล สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้เสมอ! 🩺

🔄 RADIESSE แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร? ✨

RADIESSE มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ในหลายด้าน มาดูการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกกันค่ะ 📊:

RADIESSE 💎RADIESSE ใช้วัสดุหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความคงทนอยู่ที่ 12-18 เดือน จุดเด่นคือสามารถปรับโครงหน้าได้ดี เช่น เติมร่องแก้มหรือปรับกรามให้ชัดเจน และให้ผลลัพธ์ระยะยาว แต่ข้อเสียคือไม่สามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา และมีราคาค่อนข้างสูง 🌟

Sculptra 🌿Sculptra ใช้วัสดุ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นหลัก มีความคงทนยาวนานถึง 18-24 เดือน จุดเด่นคือให้ผลระยะยาวและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จะไม่ปรากฏทันที ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตรในทันทีเมื่อเทียบกับ RADIESSE 🍃

Juvederm 💧Juvederm เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่เติมเต็มปริมาตรด้วยความชุ่มชื้น มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากหรือร่องใต้ตา และสามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยกว่า 💦

Restylane 🌸Restylane ก็เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เช่นเดียวกับ Juvederm มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยและสามารถสลายได้ทันที เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ผลลัพธ์คงทนสั้นกว่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm มักอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตและความหนืดของเนื้อเจล 🌺

Botox 💉Botox ใช้สาร Botulinum Toxin Type A ที่ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยย่นหน้าผากหรือตีนกา มีความคงทนเพียง 3-6 เดือน จุดเด่นคือช่วยลดริ้วรอยได้ดีและฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อย 💊

Thread Lift 🧵Thread Lift ใช้เส้นใยละลายได้ เช่น PDO หรือ PLLA เพื่อยกกระชับผิว มีความคงทน 6-12 เดือน จุดเด่นคือช่วยยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ยกคิ้วหรือกระชับแก้ม และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก ใช้เวลาฟื้นตัวนาน และมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่เน้นการเติมเต็มมากกว่าการยกกระชับ 🪡

HIFU/Ulthera 📡HIFU หรือ Ulthera ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนด้วยความร้อน มีความคงทน 12-18 เดือน จุดเด่นคือไม่ต้องฉีดและไม่มีแผล เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหย่อนคล้อย แต่ข้อเสียคือไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE ผลลัพธ์ปรากฏช้า และรู้สึกเจ็บขณะทำ 🌊

PRP (Platelet-Rich Plasma) 🩸PRP ใช้พลาสมาจากเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือด มีความคงทน 3-6 เดือน จุดเด่นคือปลอดภัยเพราะใช้สารจากร่างกายเอง ช่วยให้ผิวดูสดใสและอ่อนเยาว์ แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์ไม่แน่นอนและต้องทำหลายครั้ง เมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าในเรื่องการเติมเต็มและปรับโครงหน้า 💉

สรุปความแตกต่างของ RADIESSE กับแต่ละหัตถการ 🌈

RADIESSE vs Sculptra: RADIESSE ให้ผลเติมเต็มทันทีพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ทั้งทันทีและระยะยาว (12-18 เดือน) ส่วน Sculptra เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างช้า ๆ เพื่อฟื้นฟูผิวจากภายใน ผลลัพธ์ใช้เวลาหลายสัปดาห์แต่คงทนกว่า (18-24 เดือน) 🌟🍃

RADIESSE vs Juvederm/Restylane: RADIESSE มีความคงทนยาวนานกว่า (12-18 เดือน) และเน้นปรับโครงหน้า ส่วน Juvederm และ Restylane ซึ่งเป็น HA Fillers เน้นความชุ่มชื้นและเติมเต็มได้ทันที แต่คงทนสั้นกว่า (6-12 เดือน) และสามารถสลายได้หากมีปัญหา ซึ่ง RADIESSE ทำไม่ได้ 💎💦🌸

 
 
 

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
เดอร์มาโกลว์(DERMA GLOW)อันตรายไหม

Derma Glow: โปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วย Skin Booster 💉✨ สวัสดีค่ะ! วันนี้เราจะมาพูดถึง Derma Glow ซึ่งเป็นโปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วยการฉีดช...

 
 
 

ความคิดเห็น


ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

0626023959

bottom of page