
RADIESSE (เรเดียสซ์)ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน อิลาสติน จริงหรือไม่
- วันวิสาข์ 2540
- 18 ก.ย.
- ยาว 3 นาที
🌟 RADIESSE (เรเดียสซ์) คืออะไร? 🌟
RADIESSE (เรเดียสซ์) เป็นฟิลเลอร์ชนิดพิเศษที่มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) 30% ในเจลพาหะ Carboxymethylcellulose 70% โดยได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกาและ อย. ประเทศไทย ใช้สำหรับการเติมเต็มริ้วรอย ปรับโครงหน้า และยกกระชับผิว 💉
ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่แค่ฟิลเลอร์ธรรมดา แต่ยังเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินตามธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก ✨
💰 ราคาและปริมาณ
ราคา: 29,999 บาท/กล่อง
ปริมาณ: 1.5 มล./กล่อง
ความเข้มข้น: CaHA 30% ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
🧬 ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินจริงหรือไม่?
ใช่ ช่วยได้จริง! 👍 RADIESSE มีกลไกการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป โดยทำงานใน 2 ขั้นตอนหลัก:
การเติมเต็มทันที: เจลพาหะ (Carboxymethylcellulose) ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและยกกระชับผิวทันทีหลังการฉีด
การกระตุ้นระยะยาว: อนุภาค CaHA ทำหน้าที่เป็นโครงร่าง (scaffold) ให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) มาเกาะและกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนประเภท 1 และ 3 รวมถึง อิลาสติน ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่นให้กับผิว
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: การศึกษาทางคลินิกพบว่า RADIESSE สามารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้มากถึง 30% ภายใน 3 เดือนหลังการฉีด และยังช่วยเพิ่มการสร้างอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวเด้งและยืดหยุ่น 🔬
ผลลัพธ์นี้ทำให้ RADIESSE ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาผิวในระยะสั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว 🌿
👥 เหมาะกับใคร?
✅ กลุ่มที่เหมาะสม
RADIESSE เหมาะสำหรับบุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
อายุ: 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีสัญญาณของความชรา
ปัญหาผิว: ผิวหย่อนคล้อย, ริ้วรอยลึก (เช่น ร่องแก้ม, ร่องมุมปาก), สูญเสียปริมาตรบนใบหน้า
เป้าหมาย: ต้องการยกกระชับผิว, ปรับโครงหน้า (เช่น แก้ม, กราม, คาง), หรือฟื้นฟูความอ่อนเยาว์
สภาพร่างกาย: มีสุขภาพดีและไม่มีข้อห้ามในการฉีด
❌ กลุ่มที่ไม่เหมาะสม
🤰 สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
🤒 ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเรื้อรังที่ไม่ควบคุม
🔴 ผู้ที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณ
💊 ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของ RADIESSE หรือมีประวัติแพ้ยาชา
คำแนะนำ: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนการรักษา 🩺
⚡ เห็นผลทันทีหรือไม่?
ใช่ เห็นผลทันที! และผลลัพธ์จะพัฒนาต่อเนื่องตามเวลา:
ทันทีหลังฉีด: เห็นการเติมเต็มริ้วรอยและการยกกระชับผิวในบริเวณที่ฉีด
2-4 สัปดาห์: เริ่มเห็นการกระตุ้นคอลลาเจน ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น
3-6 เดือน: ผลลัพธ์ถึงจุดสูงสุด ผิวกระชับมากขึ้น โครงหน้าชัดเจน และผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
⏳ ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
RADIESSE ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป:ระยะเวลาเฉลี่ย: 12-18 เดือน
ในบางกรณี: อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลา:
อายุของผู้รับการรักษา
สภาพผิวและไลฟ์สไตล์ (เช่น การสูบบุหรี่, การตากแดด)
เทคนิคการฉีดและปริมาณที่ใช้
การดูแลผิวหลังการรักษา
⚖️ ข้อดีและข้อเสีย
👍 ข้อดีของ RADIESSE
✨ ผลลัพธ์ทันที: เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
🌿 กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน: ช่วยให้ผิวสร้างโปรตีนสำคัญตามธรรมชาติ
⏳ ผลลัพธ์ยาวนาน: อยู่ได้ 12-18 เดือนหรือมากกว่า
🛡️ ความปลอดภัยสูง: ได้รับการรับรองจาก FDA และ อย. ไทย
💧 ใช้ปริมาณน้อย: ให้ผลดีโดยไม่ต้องฉีดมาก
🎯 ปรับโครงหน้าได้ดีเยี่ยม: ช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
👎 ข้อเสียของ RADIESSE
💰 ราคาค่อนข้างสูง: อาจไม่เหมาะกับทุกงบประมาณ
⚠️ ไม่สามารถละลายได้: หากฉีดผิดพลาดจะแก้ไขได้ยาก (ต่างจาก HA Filler)
🔴 อาจเกิดก้อนแข็ง: หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้เทคนิคไม่ถูกต้อง
🚫 ข้อจำกัดบริเวณฉีด: ไม่เหมาะกับบางจุด เช่น ริมฝีปากหรือใต้ตา
⚠️ อันตรายหรือไม่?
โดยทั่วไป RADIESSE มีความปลอดภัยสูงเมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงดังนี้:
อาการข้างเคียงที่พบบ่อย (ไม่รุนแรง):
🟣 รอยช้ำ: อาจเกิดขึ้นและหายไปใน 5-10 วัน
🔴 รอยแดง: มักหายภายใน 2-3 วัน
💧 อาการบวม: พบได้บ่อยและหายภายใน 3-7 วัน
😣 อาการเจ็บเล็กน้อย: อาจรู้สึกระคายเคืองบริเวณที่ฉีด 1-2 วัน
อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย:
🦠 การติดเชื้อ: อาจเกิดขึ้นหากไม่รักษาความสะอาด
🧱 ก้อนแข็ง (Nodule): อาจเกิดจากการฉีดที่ไม่สม่ำเสมอ
🧪 อาการแพ้: พบได้น้อยมาก แต่ควรแจ้งประวัติการแพ้ให้แพทย์ทราบ
ความเสี่ยงรุนแรง (หายากมาก):
🚨 การอุดตันของหลอดเลือด (Vascular Occlusion): อาจเกิดขึ้นหากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
วิธีลดความเสี่ยง:
เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์
ตรวจสอบว่าใช้ผลิตภัณฑ์แท้จากบริษัทผู้ผลิต
แจ้งประวัติการรักษาและอาการแพ้ให้แพทย์ทราบ
ปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด 🛡️
🔄 วิธีดูแลตัวเองก่อนและหลังการรักษา
📝 การเตรียมตัวก่อนฉีด RADIESSE
การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา:
7-10 วันก่อนฉีด:
🚫 งดยาต้านการอักเสบ: เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
🚫 งดวิตามินหรือสมุนไพรที่เพิ่มการเลือดออก: เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, โสม, กระเทียม
🩺 ปรึกษาแพทย์: หากใช้ยาประจำตัวหรือมีโรคประจำตัว
24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด:
🚫 งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
🚫 งดผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: เช่น Retinol, AHA, BHA หรือกรดผลัดเซลล์ผิว
💧 ดื่มน้ำให้เพียงพอ: เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับการรักษา
วันฉีด:
🧼 มาด้วยใบหน้าสะอาด: ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุง
👕 สวมเสื้อผ้าที่สบาย: และไม่รัดแน่น เพื่อความสะดวกในการรักษา
🌿 การดูแลตัวเองหลังฉีด RADIESSE
การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดผลข้างเคียง:
ทันทีหลังฉีด:
❄️ ประคบเย็น: เพื่อลดอาการบวม (ประคบ 15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง)
🚫 หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ไม่ถูหรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของผลิตภัณฑ์24-48 ชั่วโมง:
🚫 งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
🚫 งดการอบซาวน่า, อาบน้ำร้อน: หรือตากแดดจัด เพื่อป้องกันการอักเสบ🚫 งดแอลกอฮอล์: เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำและบวม
1-2 สัปดาห์:
🚫 งดนวดหน้า: หรือทำทรีตเมนต์ที่กดทับผิว เช่น เลเซอร์หรือ RF☀️ ทาครีมกันแดด SPF 50+: ทุกวันเพื่อปกป้องผิว
🚫 หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดหรือเรตินอล
ระยะยาว:
💧 ดื่มน้ำมากๆ: อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
🥗 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน C และ E เพื่อสนับสนุนการสร้างคอลลาเจน
🚫 หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน
🧴 ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เช่น ครีมที่มีเปปไทด์หรือวิตามิน
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RADIESSE หรือต้องการคำปรึกษาเฉพาะบุคคล สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้เสมอ! 🩺
🔄 RADIESSE แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร? ✨
RADIESSE มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ในหลายด้าน มาดูการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกกันค่ะ 📊:
RADIESSE 💎RADIESSE ใช้วัสดุหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความคงทนอยู่ที่ 12-18 เดือน จุดเด่นคือสามารถปรับโครงหน้าได้ดี เช่น เติมร่องแก้มหรือปรับกรามให้ชัดเจน และให้ผลลัพธ์ระยะยาว แต่ข้อเสียคือไม่สามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา และมีราคาค่อนข้างสูง 🌟
Sculptra 🌿Sculptra ใช้วัสดุ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นหลัก มีความคงทนยาวนานถึง 18-24 เดือน จุดเด่นคือให้ผลระยะยาวและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จะไม่ปรากฏทันที ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตรในทันทีเมื่อเทียบกับ RADIESSE 🍃
Juvederm 💧Juvederm เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่เติมเต็มปริมาตรด้วยความชุ่มชื้น มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากหรือร่องใต้ตา และสามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยกว่า 💦
Restylane 🌸Restylane ก็เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เช่นเดียวกับ Juvederm มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยและสามารถสลายได้ทันที เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ผลลัพธ์คงทนสั้นกว่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm มักอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตและความหนืดของเนื้อเจล 🌺
Botox 💉Botox ใช้สาร Botulinum Toxin Type A ที่ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยย่นหน้าผากหรือตีนกา มีความคงทนเพียง 3-6 เดือน จุดเด่นคือช่วยลดริ้วรอยได้ดีและฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อย 💊
Thread Lift 🧵Thread Lift ใช้เส้นใยละลายได้ เช่น PDO หรือ PLLA เพื่อยกกระชับผิว มีความคงทน 6-12 เดือน จุดเด่นคือช่วยยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ยกคิ้วหรือกระชับแก้ม และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก ใช้เวลาฟื้นตัวนาน และมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่เน้นการเติมเต็มมากกว่าการยกกระชับ 🪡
HIFU/Ulthera 📡HIFU หรือ Ulthera ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนด้วยความร้อน มีความคงทน 12-18 เดือน จุดเด่นคือไม่ต้องฉีดและไม่มีแผล เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหย่อนคล้อย แต่ข้อเสียคือไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE ผลลัพธ์ปรากฏช้า และรู้สึกเจ็บขณะทำ 🌊
PRP (Platelet-Rich Plasma) 🩸PRP ใช้พลาสมาจากเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือด มีความคงทน 3-6 เดือน จุดเด่นคือปลอดภัยเพราะใช้สารจากร่างกายเอง ช่วยให้ผิวดูสดใสและอ่อนเยาว์ แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์ไม่แน่นอนและต้องทำหลายครั้ง เมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าในเรื่องการเติมเต็มและปรับโครงหน้า 💉
สรุปความแตกต่างของ RADIESSE กับแต่ละหัตถการ 🌈
RADIESSE vs Sculptra: RADIESSE ให้ผลเติมเต็มทันทีพร้อมกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ทั้งทันทีและระยะยาว (12-18 เดือน) ส่วน Sculptra เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างช้า ๆ เพื่อฟื้นฟูผิวจากภายใน ผลลัพธ์ใช้เวลาหลายสัปดาห์แต่คงทนกว่า (18-24 เดือน) 🌟🍃
RADIESSE vs Juvederm/Restylane: RADIESSE มีความคงทนยาวนานกว่า (12-18 เดือน) และเน้นปรับโครงหน้า ส่วน Juvederm และ Restylane ซึ่งเป็น HA Fillers เน้นความชุ่มชื้นและเติมเต็มได้ทันที แต่คงทนสั้นกว่า (6-12 เดือน) และสามารถสลายได้หากมีปัญหา ซึ่ง RADIESSE ทำไม่ได้ 💎💦🌸

ความคิดเห็น