top of page
ค้นหา

เดอร์มาโกลว์(DERMA GLOW)เจ็บไหม

🤔 การฉีด Derma Glow เจ็บไหม?

การฉีด Skin Booster อาจมีความรู้สึกไม่สบายบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเจ็บมาก 😌 โดยทั่วไปแล้ว:

แพทย์จะทาครีมชาก่อนทำการรักษา เพื่อลดความเจ็บปวด 🧴

ความรู้สึกจะคล้ายกับการถูกเข็มเล็กๆ จิ้มหลายๆ ครั้ง

ระดับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล

บริเวณที่บอบบางเช่นรอบดวงตาอาจรู้สึกไม่สบายมากกว่าบริเวณอื่น

หลังการรักษาอาจมีอาการแสบร้อนหรือรู้สึกตึงผิวเล็กน้อย แต่จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง ⏱️

⚠️ อันตรายไหม?

การฉีด Skin Booster โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็มีความเสี่ยงเล็กน้อยเช่นเดียวกับหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ:

การรักษานี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาในหลายประเทศ 🛡️

ความเสี่ยงจะลดลงมากเมื่อทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์

สารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ตามธรรมชาติ จึงมีโอกาสแพ้น้อย 🍃

😨 ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราวและหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน:

รอยแดง บวม หรือจ้ำเลือดบริเวณที่ฉีด 🔴

อาการคันหรือระคายเคืองเล็กน้อย

รู้สึกตึงผิวหรือไม่สบายผิว

ผิวอาจดูมันเงาเกินไปในช่วง 1-2 วันแรก

อาการติดเชื้อ (พบได้น้อยมาก หากทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน)

การแพ้สาร (พบได้น้อยมาก) 🚫

🔄 กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

การเห็นผลลัพธ์จากการฉีด Skin Booster แบ่งได้เป็น:

ผลลัพธ์ระยะสั้น (ทันที - 1 สัปดาห์) ⚡

ผิวจะดูชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังการรักษา

ความเปล่งปลั่งเพิ่มขึ้นภายใน 2-3 วัน

รอยแดงหรือบวมจะหายไปภายใน 24-72 ชั่วโมง

ผลลัพธ์ระยะกลาง (2-4 สัปดาห์) 🌱

ผิวเริ่มแน่นกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ จางลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

ผลลัพธ์ระยะยาว (หลังการรักษาต่อเนื่อง) 🌈โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์ในช่วงแรก

หลังจากนั้นทำการรักษาเพื่อรักษาผลลัพธ์ทุก 3-6 เดือน

ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเห็นหลังจากครบคอร์สการรักษา (3-4 ครั้ง) 📊

👩‍⚕️ การเตรียมตัวก่อนฉีด Derma Glow

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ควรเตรียมตัวดังนี้:

7 วันก่อนการรักษา:

หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน 💊

หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี สาหร่าย

งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 🍷

3 วันก่อนการรักษา:

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสง 🧪

งดการขัดหน้า หรือทรีตเมนต์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง

1 วันก่อนการรักษา:

ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ไม่แต่งหน้า 🧼

พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ 💧

แจ้งแพทย์หากมีแผลเปิด สิว หรือการติดเชื้อบริเวณที่จะรักษา

🌷 การดูแลตัวเองหลังฉีด Derma Glow

ทันทีหลังการรักษา (24 ชั่วโมงแรก):

ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการบวมหรือรอยช้ำ (ห่อน้ำแข็งด้วยผ้าสะอาด ประคบครั้งละ 10-15 นาที) ❄️

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ได้รับการรักษา

งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง 💄

นอนหงายยกศีรษะสูงในคืนแรกเพื่อลดอาการบวม

หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดร้อนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 🌶️

1-3 วันหลังการรักษา:

ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม 🧴

ทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุกวัน แม้อยู่ในร่ม ☀

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก

หลีกเลี่ยงอุณหภูมิร้อนจัด เช่น ซาวน่า จากุซซี่ หรือการอาบน้ำร้อน 🔥

1 สัปดาห์หลังการรักษา:

หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือทรีตเมนต์ที่กระตุ้นผิวมากเกินไป

งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้หรือเรตินอล

ดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของไฮยาลูโรนิก 💦

การดูแลระยะยาว:

ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้อยู่ในร่ม 🌞

รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์คุณภาพดี

ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 🥤

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โอเมก้า-3 และโปรตีนคุณภาพดี 🥗

พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด 😴

กลับไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อรักษาต่อเนื่อง 📅

💎 ข้อควรระวังพิเศษ

ไม่ควรทำ Derma Glow หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 🤰

แจ้งแพทย์หากมีประวัติโรคภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังอื่นๆ

หากมีประวัติการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการรักษา

ผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

ติดต่อแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมมาก เจ็บรุนแรง หรือมีไข้ 🚨

✨ สรุป

Derma Glow เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยไม่ต้องผ่านการศัลยกรรม การฉีด Skin Booster ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เจ็บมาก และมีระยะพักฟื้นสั้น 🌺 ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเกิดขึ้นหลังการรักษาต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง และสามารถรักษาผลลัพธ์ด้วยการทำทรีตเมนต์ทุก 3-6 เดือน

การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องทั้งก่อนและหลังการรักษาเป็นกุญแจสำคัญสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและปลอดภัย 🔑 ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งเพื่อประเมินว่า Derma Glow เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณหรือไม่ 👩‍⚕️✨

✨ ความแตกต่างระหว่าง Derma Glow (Skin Booster) กับ Mesotherapy, Mesofat, Botox และ Filler ✨

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesotherapy:

💦 ความชุ่มชื้นยาวนานกว่า: HA ใน Skin Booster ช่วยกักเก็บน้ำในผิวได้ดีกว่าวิตามินทั่วไป ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้นานขึ้น

⏳ ผลลัพธ์คงอยู่นานกว่า: ผลของ Derma Glow อยู่ได้ 4-6 เดือน เทียบกับ Mesotherapy ที่อยู่ได้เพียง 1-2 เดือน

📅 จำนวนครั้งน้อยกว่า: คอร์สการรักษามักใช้เพียง 3 ครั้ง ในขณะที่ Mesotherapy อาจต้องทำ 4-6 ครั้ง

🌿 ความเสี่ยงจากการแพ้น้อยกว่า: เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ HA ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เอง โอกาสแพ้จึงน้อยกว่าค็อกเทลวิตามินที่มีส่วนผสมหลากหลาย

🧬 กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่า: HA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดีกว่าในระยะยาว

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesofat:

🧖‍♀️ ระยะพักฟื้นสั้นกว่า: มีอาการบวมแดงน้อยกว่าและหายเร็วกว่า Mesofat

😌 ความเจ็บปวดน้อยกว่า: เนื่องจากฉีดตื้นกว่าและไม่รู้สึกแสบเหมือนสารสลายไขมัน

🌱 ไม่ทำลายเซลล์: เป็นการเติมสารให้ผิว ไม่ใช่การทำลายเซลล์ไขมัน จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องผิวไม่เรียบ

💆‍♀️ เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Mesofat ไม่มีผลในด้านนี้

🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการบวมมากหรือการอักเสบจากสารสลายไขมัน

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Botox:

💧 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Botox ไม่มีผลในด้านนี้

😊 ใบหน้ายังแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ: ไม่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งหรือดูไม่เป็นธรรมชาติ

🌱 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Botox ไม่ได้ช่วยในด้านโครงสร้างผิว

🛡️ ไม่มีความเสี่ยงจากสารโบทูลินัม ท็อกซิน: ไม่มีความเสี่ยงเรื่องคิ้วตกหรือใบหน้าไม่สมดุล

🧖‍♀️ เหมาะสำหรับการดูแลผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวสุขภาพดีทั่วทั้งใบหน้า ไม่ใช่แค่เฉพาะจุด

🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Filler:

💧 เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วทั้งใบหน้า: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นทั่วถึง ไม่ใช่แค่เฉพาะจุดเหมือน Filler

🌱 กระจายตัวทั่วผิวหน้า ไม่เป็นก้อน: เนื่องจากฉีดตื้นและกระจาย ไม่มีความเสี่ยงเรื่องก้อนแข็งเหมือน Filler

🧬 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Filler ไม่มีผลในด้านนี้

🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการอุดตันเส้นเลือด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงของ Filler

😊 ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: ไม่ทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือดูแข็ง

การรวมหัตถการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🌈

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว หลายคนเลือกที่จะรวมหัตถการต่างๆ ดังนี้:

💧 Derma Glow + Botox: เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วใบหน้าและลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยตีนกา

🌟 Derma Glow + Filler: เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วใบหน้าและเติมเต็มร่องลึกเฉพาะจุด เช่น ร่องใต้ตา

💎 Derma Glow + Mesotherapy: เพิ่มความชุ่มชื้นและเติมวิตามิน แร่ธาตุให้ผิว เพื่อผิวที่แข็งแรงยิ่งขึ้น

🔮 Derma Glow + Mesofat: เพิ่มความชุ่มชื้นและกำจัดไขมันส่วนเกิน เพื่อผิวเปล่งปลั่งและใบหน้าเรียวขึ้น


สรุป 🌟

Derma Glow (Skin Booster) เป็นหัตถการที่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนทั่วทั้งใบหน้า เพื่อผิวที่เปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจาก:

Mesotherapy 💧 ที่เน้นเติมสารอาหารและวิตามินให้ผิว

Mesofat 🍯 ที่เน้นสลายไขมันส่วนเกินเพื่อปรับรูปหน้า

Botox 💎 ที่เน้นลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ

Filler 🌊 ที่เน้นเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรให้ใบหน้า

การเลือกหัตถการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและเป้าหมายของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุม อาจพิจารณารวมหลายหัตถการเข้าด้วยกัน โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพผิวและความต้องการของคุณ ✨

 
 
 

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
เดอร์มาโกลว์(DERMA GLOW)อันตรายไหม

Derma Glow: โปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วย Skin Booster 💉✨ สวัสดีค่ะ! วันนี้เราจะมาพูดถึง Derma Glow ซึ่งเป็นโปรแกรมการดูแลผิวหน้าด้วยการฉีดช...

 
 
 

ความคิดเห็น


ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

ตลาดทาวน่ามาเก็ต 24/140 ม.9 ถ.สุขุมวิทพัทยา53 ซ.เนินพลับหวาน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี20150

0626023959

bottom of page