
เดอร์มาโกลว์(DERMA GLOW)เจ็บไหม
- วันวิสาข์ 2540
- 24 ก.ย.
- ยาว 2 นาที
🤔 การฉีด Derma Glow เจ็บไหม?
การฉีด Skin Booster อาจมีความรู้สึกไม่สบายบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเจ็บมาก 😌 โดยทั่วไปแล้ว:
แพทย์จะทาครีมชาก่อนทำการรักษา เพื่อลดความเจ็บปวด 🧴
ความรู้สึกจะคล้ายกับการถูกเข็มเล็กๆ จิ้มหลายๆ ครั้ง
ระดับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล
บริเวณที่บอบบางเช่นรอบดวงตาอาจรู้สึกไม่สบายมากกว่าบริเวณอื่น
หลังการรักษาอาจมีอาการแสบร้อนหรือรู้สึกตึงผิวเล็กน้อย แต่จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง ⏱️
⚠️ อันตรายไหม?
การฉีด Skin Booster โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็มีความเสี่ยงเล็กน้อยเช่นเดียวกับหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ:
การรักษานี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาในหลายประเทศ 🛡️
ความเสี่ยงจะลดลงมากเมื่อทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์
สารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ตามธรรมชาติ จึงมีโอกาสแพ้น้อย 🍃
😨 ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราวและหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน:
รอยแดง บวม หรือจ้ำเลือดบริเวณที่ฉีด 🔴
อาการคันหรือระคายเคืองเล็กน้อย
รู้สึกตึงผิวหรือไม่สบายผิว
ผิวอาจดูมันเงาเกินไปในช่วง 1-2 วันแรก
อาการติดเชื้อ (พบได้น้อยมาก หากทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน)
การแพ้สาร (พบได้น้อยมาก) 🚫
🔄 กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การเห็นผลลัพธ์จากการฉีด Skin Booster แบ่งได้เป็น:
ผลลัพธ์ระยะสั้น (ทันที - 1 สัปดาห์) ⚡
ผิวจะดูชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังการรักษา
ความเปล่งปลั่งเพิ่มขึ้นภายใน 2-3 วัน
รอยแดงหรือบวมจะหายไปภายใน 24-72 ชั่วโมง
ผลลัพธ์ระยะกลาง (2-4 สัปดาห์) 🌱
ผิวเริ่มแน่นกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ จางลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
ผลลัพธ์ระยะยาว (หลังการรักษาต่อเนื่อง) 🌈โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์ในช่วงแรก
หลังจากนั้นทำการรักษาเพื่อรักษาผลลัพธ์ทุก 3-6 เดือน
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเห็นหลังจากครบคอร์สการรักษา (3-4 ครั้ง) 📊
👩⚕️ การเตรียมตัวก่อนฉีด Derma Glow
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ควรเตรียมตัวดังนี้:
7 วันก่อนการรักษา:
หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน 💊
หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี สาหร่าย
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 🍷
3 วันก่อนการรักษา:
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เรตินอล หรือสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสง 🧪
งดการขัดหน้า หรือทรีตเมนต์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง
1 วันก่อนการรักษา:
ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ไม่แต่งหน้า 🧼
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ 💧
แจ้งแพทย์หากมีแผลเปิด สิว หรือการติดเชื้อบริเวณที่จะรักษา
🌷 การดูแลตัวเองหลังฉีด Derma Glow
ทันทีหลังการรักษา (24 ชั่วโมงแรก):
ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการบวมหรือรอยช้ำ (ห่อน้ำแข็งด้วยผ้าสะอาด ประคบครั้งละ 10-15 นาที) ❄️
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ได้รับการรักษา
งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง 💄
นอนหงายยกศีรษะสูงในคืนแรกเพื่อลดอาการบวม
หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดร้อนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 🌶️
1-3 วันหลังการรักษา:
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม 🧴
ทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุกวัน แม้อยู่ในร่ม ☀
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
หลีกเลี่ยงอุณหภูมิร้อนจัด เช่น ซาวน่า จากุซซี่ หรือการอาบน้ำร้อน 🔥
1 สัปดาห์หลังการรักษา:
หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือทรีตเมนต์ที่กระตุ้นผิวมากเกินไป
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้หรือเรตินอล
ดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของไฮยาลูโรนิก 💦
การดูแลระยะยาว:
ทาครีมกันแดดทุกวัน แม้อยู่ในร่ม 🌞
รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์คุณภาพดี
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 🥤
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โอเมก้า-3 และโปรตีนคุณภาพดี 🥗
พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด 😴
กลับไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อรักษาต่อเนื่อง 📅
💎 ข้อควรระวังพิเศษ
ไม่ควรทำ Derma Glow หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 🤰
แจ้งแพทย์หากมีประวัติโรคภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังอื่นๆ
หากมีประวัติการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการรักษา
ผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา
ติดต่อแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมมาก เจ็บรุนแรง หรือมีไข้ 🚨
✨ สรุป
Derma Glow เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยไม่ต้องผ่านการศัลยกรรม การฉีด Skin Booster ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เจ็บมาก และมีระยะพักฟื้นสั้น 🌺 ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเกิดขึ้นหลังการรักษาต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง และสามารถรักษาผลลัพธ์ด้วยการทำทรีตเมนต์ทุก 3-6 เดือน
การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องทั้งก่อนและหลังการรักษาเป็นกุญแจสำคัญสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและปลอดภัย 🔑 ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งเพื่อประเมินว่า Derma Glow เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณหรือไม่ 👩⚕️✨
✨ ความแตกต่างระหว่าง Derma Glow (Skin Booster) กับ Mesotherapy, Mesofat, Botox และ Filler ✨
🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesotherapy:
💦 ความชุ่มชื้นยาวนานกว่า: HA ใน Skin Booster ช่วยกักเก็บน้ำในผิวได้ดีกว่าวิตามินทั่วไป ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้นานขึ้น
⏳ ผลลัพธ์คงอยู่นานกว่า: ผลของ Derma Glow อยู่ได้ 4-6 เดือน เทียบกับ Mesotherapy ที่อยู่ได้เพียง 1-2 เดือน
📅 จำนวนครั้งน้อยกว่า: คอร์สการรักษามักใช้เพียง 3 ครั้ง ในขณะที่ Mesotherapy อาจต้องทำ 4-6 ครั้ง
🌿 ความเสี่ยงจากการแพ้น้อยกว่า: เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ HA ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เอง โอกาสแพ้จึงน้อยกว่าค็อกเทลวิตามินที่มีส่วนผสมหลากหลาย
🧬 กระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่า: HA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดีกว่าในระยะยาว
🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Mesofat:
🧖♀️ ระยะพักฟื้นสั้นกว่า: มีอาการบวมแดงน้อยกว่าและหายเร็วกว่า Mesofat
😌 ความเจ็บปวดน้อยกว่า: เนื่องจากฉีดตื้นกว่าและไม่รู้สึกแสบเหมือนสารสลายไขมัน
🌱 ไม่ทำลายเซลล์: เป็นการเติมสารให้ผิว ไม่ใช่การทำลายเซลล์ไขมัน จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องผิวไม่เรียบ
💆♀️ เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Mesofat ไม่มีผลในด้านนี้
🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการบวมมากหรือการอักเสบจากสารสลายไขมัน
🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Botox:
💧 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่ง Botox ไม่มีผลในด้านนี้
😊 ใบหน้ายังแสดงอารมณ์ได้ตามปกติ: ไม่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งหรือดูไม่เป็นธรรมชาติ
🌱 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Botox ไม่ได้ช่วยในด้านโครงสร้างผิว
🛡️ ไม่มีความเสี่ยงจากสารโบทูลินัม ท็อกซิน: ไม่มีความเสี่ยงเรื่องคิ้วตกหรือใบหน้าไม่สมดุล
🧖♀️ เหมาะสำหรับการดูแลผิวโดยรวม: ช่วยให้ผิวสุขภาพดีทั่วทั้งใบหน้า ไม่ใช่แค่เฉพาะจุด
🔷 ข้อดีของ Derma Glow เมื่อเทียบกับ Filler:
💧 เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วทั้งใบหน้า: Derma Glow ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นทั่วถึง ไม่ใช่แค่เฉพาะจุดเหมือน Filler
🌱 กระจายตัวทั่วผิวหน้า ไม่เป็นก้อน: เนื่องจากฉีดตื้นและกระจาย ไม่มีความเสี่ยงเรื่องก้อนแข็งเหมือน Filler
🧬 กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว: ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ซึ่ง Filler ไม่มีผลในด้านนี้
🛡️ ความเสี่ยงต่ำกว่า: ไม่มีความเสี่ยงจากการอุดตันเส้นเลือด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงของ Filler
😊 ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: ไม่ทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือดูแข็ง
การรวมหัตถการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 🌈
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกปัญหาผิว หลายคนเลือกที่จะรวมหัตถการต่างๆ ดังนี้:
💧 Derma Glow + Botox: เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วใบหน้าและลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยตีนกา
🌟 Derma Glow + Filler: เพิ่มความชุ่มชื้นทั่วใบหน้าและเติมเต็มร่องลึกเฉพาะจุด เช่น ร่องใต้ตา
💎 Derma Glow + Mesotherapy: เพิ่มความชุ่มชื้นและเติมวิตามิน แร่ธาตุให้ผิว เพื่อผิวที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
🔮 Derma Glow + Mesofat: เพิ่มความชุ่มชื้นและกำจัดไขมันส่วนเกิน เพื่อผิวเปล่งปลั่งและใบหน้าเรียวขึ้น
สรุป 🌟
Derma Glow (Skin Booster) เป็นหัตถการที่เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนทั่วทั้งใบหน้า เพื่อผิวที่เปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจาก:
Mesotherapy 💧 ที่เน้นเติมสารอาหารและวิตามินให้ผิว
Mesofat 🍯 ที่เน้นสลายไขมันส่วนเกินเพื่อปรับรูปหน้า
Botox 💎 ที่เน้นลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
Filler 🌊 ที่เน้นเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรให้ใบหน้า
การเลือกหัตถการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและเป้าหมายของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุม อาจพิจารณารวมหลายหัตถการเข้าด้วยกัน โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพผิวและความต้องการของคุณ ✨

ความคิดเห็น